การแช่แข็งไข่/ การฝากไข่
ในสังคมปัจจุบันผู้หญิงเรามีความรู้ความสามารถมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงานในองค์กรต่างๆ และให้ความสำคัญกับงานมาเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ในชีวิต ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะแต่งงานใช้ชีวิตคู่และวางแผนการมีบุตรช้าลง แต่จากงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า หรือเท่ากับ 35 ปี จะมีโอกาสตั้งครรภ์ลดลง และประสบปัญหาภาวะมีบุตรยากมากขึ้น เพราะปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ คือ อายุของไข่ในเพศหญิง เนื่องจากเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น จะมีจำนวนไข่ในรังไข่น้อยลง (Ovarian reserve) รวมถึงคุณภาพของไข่ (Oocyte competence) ก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้ การใช้เทคโนโลยีการแช่แข็งไข่ (Oocyte cryopreservation) หรือที่นิยมเรียกในปัจจุบันว่า “การฝากไข่” จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการเก็บรักษาจำนวนไข่และคุณภาพไข่เพื่อเก็บไว้ใช้ในอนาคต
การฝากไข่ เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตรในขณะนี้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ เช่น การรักษาโรคมะเร็ง หรือด้วยเหตุผลทางสังคม เช่น การทำงานหรือการศึกษา ล้วนแล้วแต่ทำให้ความพร้อมในการตั้งครรภ์ถูกเลื่อนระยะเวลาออกไป โดยการเก็บรักษาไข่นั้น ไข่จะถูกนำไปแช่แข็งและเก็บไว้จนกระทั่งพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์

ขั้นตอนการแช่แข็งไข่
1.ตรวจร่างกาย วางแผนการรักษา
ก่อนเข้าการรับการเก็บไข่ควรเข้ารับการตรวจประเมินร่างกายก่อนรวมถึงวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยสามารถปรึกษาและร่วมวางแผนการรักษากับคุณหมอให้เหมาะสมกับเวลาที่ต้องการเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2.การกระตุ้นไข่
การกระตุ้นไข่จะเริ่มวันที่ 2 ของการมีประจำเดือน เพื่อกระตุ้นให้มีการตกไข่ในปริมาณที่มากกว่าปกติ โดยจะกระตุ้นทุกวันเป็นเวลา 10 – 14 วัน ซึ่งปริมาณยาและตัวยาในการฉีด แพทย์จะพิจารณาจากอายุและผลฮอร์โมน ในขณะเดียวกันแพทย์จะฉีดยา ป้องกันไม่ให้เกิดไข่ตกก่อนเวลาร่วมด้วย
3.ประเมินการตอบสนองของรังไข่
ในระหว่างการกระตุ้นไข่ แพทย์จะทำการนัดเข้ามาอัลตราซาวด์เพื่อตรวจดูการเจริญเติบโตของไข่ ทุก ๆ 2-3 วัน เพื่อดูว่าไข่มีการตอบสนองต่อยากระตุ้นไข่แค่ไหน หากได้ขนาดใหญ่เหมาะสมตามที่แพทย์ต้องการแล้ว จะทำการฉีดยาเพื่อทำให้ไข่ตกต่อไป
4.การเก็บไข่
หลังจากที่แพทย์ฉีดยาให้ไข่ตก ประมาณ 34-36 ชั่วโมง แพทย์จะทำการเก็บไข่โดยการใช้การอัลตราซาวด์เพื่อดูตำแหน่งไข่ให้ชัดเจน แล้วจึงค่อยนำเข็มที่ใช้ในการเก็บไข่สอดเข้าไปที่รังไข่ แล้วใช้เข็มดูดเซลล์ไข่ออกมา หลังจากการเก็บไข่ควรพักฟื้นอยู่ในห้องพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง จากนั้นสามารถกลับบ้านได้ตามปกติ (อ่านเพิ่มเติม)
การแช่แข็งไข่หรือการฝากไข่เป็นการรักษาคุณภาพของเซลล์ไข่ให้คงสภาพเช่นเดิม โดยการหยุดการทำงานของเซลล์ไว้ด้วยวิธีการลดอุณหภูมิของเซลล์ลงจนถึงอุณหภูมิที่เรียกว่า sub-zero temperature และใช้สารป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งเพื่อป้องกันความเสียหายภายในเซลล์ไข่ ที่อาจเกิดขึ้นจากความเย็น และทำการเก็บรักษาไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ –196 °c แล้วค่อยนำมาละลายเมื่อผู้หญิงพร้อมที่จะมีบุตร สามารถนำไข่ที่ฝากไว้มาผสมกับอสุจิในห้องปฏิบัติการด้วยเทคนิคทางการแพทย์ที่ช่วยในการเจริญพันธุ์ การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF หรือ ICSI) แล้วทำการฝังกลับเข้าสู่มดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป ซึ่งการแช่แข็งที่นิยมใช้มี 2 วิธี คือ
1.Slow freezing เป็นการแช่แข็งไข่ที่ค่อยๆ ลดอุณหภูมิในเซลล์ไข่ ลงอย่างช้า ๆ 0.3 – 0.5°c/min. โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยในการแช่แข็ง
2.Vitrification เป็นวิธีที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นการลดอุณหภูมิของเซลล์ไข่ลงอย่างรวดเร็ว 15,000 – 30,000°c/min. และใช้สารป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งที่มีความเข้มข้นสูงกว่า เพื่อทำให้ของเหลวภายในเซลล์มีลักษณะเป็น glass- like stage และช่วยลดการเกิดผลึกน้ำแข็ง ซึ่งผลึกน้ำแข็งนี้เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้เซลล์ไข่เกิดความเสียหาย
ที่เจตนิน เราใช้วิธี Vitrification ในการแช่แข็งไข่ เพราะเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสียหายภายในเซลล์ไข่ที่เกิดจากผลึกน้ำแข็งโดยมีอัตราการรอดชีวิตหลังการละลาย (Survival rate) มากกว่าวิธี Slow freezing และอัตราความสำเร็จ ไม่ต่างกับไข่ ในรอบเก็บสด (Fresh oocyte)

ใครบ้างที่ควรฝากไข่
- ผู้หญิงที่ต้องได้รับการรักษาโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น การรักษาด้วยการฉายรังสี หรือการให้เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งที่อาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของรังไข่ เช่น เนื้องอก ซีสต์ หรือ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวหมดประจำเดือนเร็ว เคยมีประวัติผ่าตัดบริเวณรังไข่มาก่อน
- ผู้มีปัญหาด้านพันธุกรรม ชนิดที่ทำให้รังไข่เสื่อมการทำงานเร็ว เช่น Turner syndrome, Fragile X syndrome หรือ ผู้มีประวัติเสี่ยงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็ว
- ในกรณีที่ทำการรักษาภาวะมีบุตรยาก แต่ผู้ชายไม่สามารถหลั่งอสุจิหรือไม่มีตัวอสุจิในวันที่ทำการเจาะเก็บไข่ ก็สามารถแช่แข็งไข่ไว้ก่อนได้
- ผู้ที่ยังไม่พร้อมมีบุตรในขณะนี้ แต่วางแผนมีบุตรในอนาคต ที่เรียกกันว่า Social egg freezing ซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน เพราะผู้หญิงวางแผนแต่งงานช้าลงด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น การศึกษา หน้าที่การงาน ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการวางแผนการมีบุตรในอนาคต
ความสำเร็จ
- อัตราความสำเร็จของการฝากไข่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะอายุของผู้ฝาก หากอายุต่ำกว่า 35 ปี ไข่ก็จะยังมีคุณภาพดีและมีจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสเลือกไข่ที่สมบูรณ์เมื่อต้องการใช้ แต่หากอายุเกิน 40 ปี จำนวนและคุณภาพของไข่ที่ฝากจะลดลง ดังนั้น การฝากไข่ในช่วงอายุน้อยจะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์
ที่เจตนิน
- เราได้นำเสนอผลงานทางวิชาการที่แสดงให้เห็นว่าคู่สมรสสามารถให้กำเนิดบุตรที่มีสุขภาพแข็งแรงจากการใช้ไข่ที่แช่แข็งไว้ที่เจตนิน
- ความพร้อมทั้งบุคลากร (Embryologist) และห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาตร์ที่ดี
- เรามีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถเข้ารับกระบวนการรักษาได้อย่างมั่นใจ
- มีประสบการณ์การรักษาภาวะมีบุตรยากยาวนานกว่า 25 ปี และเราพร้อมให้คำปรึกษากับทุกคน