IVF (IVF – In Vitro Fertilization) นั้นเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยจะนำไข่และเชื้ออสุจิมาปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ด้วยการใช้ตัวอสุจิหลายตัวที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วปล่อยลงไปจานเพาะเลี้ยง โดยปล่อยให้ตัวอสุจินั้นล้อมรอบเซลล์ไข่และปล่อยให้ตัวอสุจิทำการเจาะเข้าไปในเปลือกไข่เองตามธรรชาติ
กระบวนการ
ขั้นตอนเริ่มจากการฉีดยากระตุ้นไข่ในวันที่ 2 ของรอบเดือน โดยฉีดยาประมาณ 9-14 วัน ในระหว่างนั้นแพทย์จะมีการนัดทำอัลตราซาวด์เพื่อติดตามขนาดของไข่ เมื่อไข่โตได้ขนาดเหมาะสมแล้ว จะทำการเจาะดูดไข่ออกมาทางช่องคลอด และฝ่ายชายเก็บอสุจิออกมาในวันเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญจะคัดแยกเฉพาะอสุจิที่สมบูรณ์ จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการทำ IVF โดยใช้ตัวอสุจิหลายตัวที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วปล่อยลงไปจานเพาะเลี้ยง โดยให้ตัวอสุจินั้นล้อมรอบเซลล์ไข่และปล่อยให้ตัวอสุจิทำการเจาะเข้าไปในเปลือกไข่เองตามธรรชาติ หลังจากปฏิสนธิกันก็จะเกิดเป็นตัวอ่อนขึ้นมา หลังจากนั้นจะทำการเลี้ยงตัวอ่อนไปจนถึงวันที่ 5 ที่เรียกว่า ระยะ Blastocyst ซึ่งถ้าหากตัวอ่อนเติบโตดี แข็งแรง แพทย์ก็จะทำการนัดคนไข้มาย้ายตัวอ่อนที่สมบูรณ์กลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อให้เจริญเติบโตในครรภ์ของฝ่ายหญิงต่อไป
การทำ IVF เหมาะสำหรับ
ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติของท่อนำไข่ที่ตีบหรือตันทั้งสองข้าง
ฝ่ายหญิงมีภาวะตกไข่ผิดปกติ
ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก
ผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
ภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ
ฝ่ายชายมีปัญหาในเรื่องเป็นหมัน สามารถทำการเจาะดูดออกมาจากท่อส่งอสุจิ หรือจากการนำเนื้อเยื่อของอัณฑะมาใช้
IVF ต่างจาก ICSI อย่างไร
ความแตกต่างระหว่างการทำ IVF และ ICSI นั้น อยู่ที่ขั้นตอนการปฏิสนธิ โดยการทำ IVF ไข่และอสุจิหลายตัวจะถูกนำไปผสมในจานเพาะเลี้ยง ซึ่งอสุจิจะว่ายมาปฏิสนธิกับเซลล์ไข่เองตามธรรมชาติ ในขณะที่การทำ ICSI นั้น เป็นการใช้เข็มฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ซึ่งวิธีการ ICSI นั้นอาจมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า และเหมาะกับฝ่ายชายที่มีสเปิร์มไม่แข็งแรงหรืออสุจิไม่สามารถเจาะเปลือกไข่เข้าไปเองได้เหมือนในวิธีการของ IVF เพราะฉะนั้นการทำ ICSI จึงมีอัตราความสำเร็จที่สูงกว่านั่นเอง