อารมณ์ของแม่ท้องมีความสำคัญต่อลูกน้อยในครรภ์มาก เพราะแค่อารมณ์ซึมเศร้ารวมถึงอาการเครียดนั้น ส่งผลเสียต่อลูกได้ระหว่างตั้งครรภ์ คนท้องบางคนจะมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เป็นครั้งคราวตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ นั่นก็เพราะตอนท้องร่างกายของแม่เปลี่ยนไปมากมาย เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อารมณ์สวิงไปมาและยากที่จะควบคุมได้ โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก นอกจากนี้ อาการที่เกิดจากการตั้งครรภ์ อาทิ อาการคลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ นอนน้อยปวดหลัง ปัสสาวะบ่อย ก็ส่งผลทำให้คนท้องเบื่อ เหนื่อย เครียด ขึ้นไปอีก
ความเครียดส่งต่อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้อย่างไรบ้าง
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์เกิดความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) และ อะดรีนาลีน (Adrenaline) โดยผลกระทบที่เกิดจากความเครียดนั้น แบ่งออก เป็น 2 ฝั่ง
ฝั่งมารดา เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการเครียดจะทานอาหารไม่ได้ หรือทานได้มากกว่าปกติ นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ภูมิต้านทานต่ำลง จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลีน ทำให้หลอดเลือดตีบ ความดันสูง และหัวใจเต้นเร็วขึ้น
ฝั่งทารก จากงานวิจัยของ Psychological Science พบว่า เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่ 6 ลูกในครรภ์จะสามารถรับรู้อารมณ์ของคุณแม่ได้ อารมณ์ที่คุณแม่รู้สึกนั้นจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดทัศนคติของลูกด้วย แม้ว่าอารมณ์ของคุณแม่จะส่งผ่านถุงน้ำคร่ำไปหาลูกไม่ได้ แต่ฮอร์โมนของคุณแม่สามารถทำได้ ถ้าลูกได้รับฮอร์โมนนี้บ่อยๆ ลูกก็จะมีอาการเครียดเรื้อรัง แถมยังทำให้ลูกมีอาการโคลิคเมื่อคลอดออกมาด้วย โดยฮอร์โมนแห่งความเครียดหรือคอร์ติซอล ถ้าร่างกายได้รับบ่อยๆ หรือได้รับมากไป นอกจากจะทำให้เป็นโรคอ้วนแล้ว ยังส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำลดลง
“แม้ว่าอารมณ์ของคุณแม่จะส่งผ่านถุงน้ำคร่ำไปหาลูกไม่ได้
แต่ฮอร์โมนของคุณแม่สามารถทำได้”
วิธีคลายเครียดสำหรับคุณแม่
เข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับ คือ วิธีดีที่สุด สำหรับจัดการความเครียดของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อรู้ตัวว่าเครียดต้องเริ่มทำความเข้าใจกับตัวเองว่า ความเครียดเหล่านั้นเกิดขึ้นจาก ฮอร์โมนธรรมชาติและความกังวลของตัวเอง และหาวิธีรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น หาวิธีผ่อนคลาย ทำกิจกรรมคลายเครียด ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมที่ชอบทำอยู่แล้ว หรือกิจกรรมใหม่ๆที่อยากลอง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ทำงานศิลปะ จัดดอกไม้ วาดรูป ออกกำลังกายเบาๆ เช่น โยคะ ว่ายน้ำ นั่งสมาธิ เปลี่ยนบรรยากาศไปกินข้าวนอกบ้าน หรือออกไปพบปะเพื่อนๆ
นอกจากนี้คนรอบข้างก็ถือเป็น ส่วนสำคัญที่จะช่วยลดความเครียดของคุณแม่ได้ โดยเฉพาะสามีและคนในครอบครัวที่ควรทำความเข้าใจ ธรรมชาติของคุณแม่ตั้งครรภ์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ รวมถึงมีความกังวลต่างๆ จึงควรดูแลอย่าง ใกล้ชิดให้กำลังใจให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
วารสารวิชาการเจตนิน Vol.11 No.1