สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อตัดสินใจฝากไข่
เมื่อตัดสินใจฝากไข่ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ พบแพทย์เพื่อตรวจประเมินการทำงานของรังไข่ เพราะในผู้หญิงแต่ละคน ถึงแม้จะมีอายุเท่ากัน แต่ก็มีจำนวนไข่ที่ไม่เท่ากัน จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงบางคนหมดประจำเดือนตอนอายุ 40 ปี ในขณะที่บางคนหมดประจำเดือนตอนอายุ 50 ปี นั่นเป็นเพราะผู้หญิงมีจำนวนไข่และอัตราการเสื่อมของไข่แตกต่างกัน
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเข้ามาฝากไข่ จึงควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่าสภาพการทำงานของรังไข่ตั้งต้นของเราอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร
ตรวจแล้วรังไข่ไม่พร้อม มีขั้นตอนอย่างไร
กรณีที่ตรวจประเมินแล้วพบว่า รังไข่อยู่ในสภาพที่ดี ก็สามารถเริ่มกระบวนการได้ทันที แต่หากตรวจประเมินพบว่า สภาพการทำงานของรังไข่ไม่พร้อม สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ การเตรียมตัวก่อนวันเก็บไข่ ซึ่งทำได้โดยออกกำลังกายเป็นประจำ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการทานอาหารเสริมที่มี folic CoQ10 หรือ Vitamin ก่อนกลับมาเริ่มกระบวนการฝากไข่ต่อไป
ฝากไข่ มีขั้นตอนอย่างไร
ขั้นตอนฝากไข่ จะมีขั้นตอนที่เริ่มฉีดยากระตุ้นไข่เพื่อให้ได้ไข่จำนวนมาก โดยจะต้องมีการฉีดยา 9—12 วัน ซึ่งปริมาณยากระตุ้นไข่ที่ใช้ในแต่ละรายจะไม่เท่ากันขึ้นกับการทำงานของรังไข่ ถ้ารังไข่เรามีสภาพดี อาจใช้ยากระตุ้นไข่น้อย แต่หากสภาพรังไข่ทำงานไม่ดี อาจจจะต้องใช้ยากระตุ้นไข่มากขึ้น
ในระหว่างที่ฉีดยากระตุ้นไข่ แพทย์จะนัดตรวจติดตามทุก 4-5 วันเพื่อดูการตอบสนองของรังไข่ และพิจารณว่าจะต้องมีการปรับเพิ่มลดยาหรือไม่ หลังจากกระตุ้นจนได้ไข่ที่โตได้เต็มที่ ไข่จะมีขนาดประมาณ 17-20 มิลลิเมตร เราจึงจะเจาะเก็บดูดไข่ออกมาแช่แข็งไว้
ฝากไข่…ควรเก็บไข่กี่ใบ
หากเรากำลังพูดถึงเรื่องการฝากไข่ เพื่อจุดประสงค์ในการมีลูกหรือสร้างครอบครัวในอนาคต สิ่งสำคัญที่เราควรคำนึงถึง คือ ขั้นตอนการนำไข่ที่แช่แข็งไว้มาละลายเพื่อนำมาใช้ต่อในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก ดังนั้นคำถามคือ
“การที่เราต้องการมีลูก 1 คน คาดว่าจะต้องแช่แข็งไข่กี่ใบ?”
ปัจจุบันเราแช่แข็งไข่ด้วยวิธี Snap freezing/ Vitrification คือ การแช่แข็งไข่โดยการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลึกน้ำแข็งที่ทำลายเซลล์ไข่ให้เสียหายได้ อย่างไรก็ตาม เราพบว่า…
• ในขั้นตอนการละลายไข่ โอกาสอยู่รอดของไข่จะอยู่ที่ 90-95%
• เมื่อเข้าสู่การทำ IVF/ICSI ในตอนการนำไข่ไปปฏิสนธิกับอสุจิ พบว่า อัตราการปฏิสนธิจะอยู่ที่ 70-80%
• หลังจากการปฏิสนธิได้ตัวอ่อนแล้วเลี้ยงตัวอ่อนไปอีก 5 วันเพื่อให้ได้ตัวอ่อนระยะที่เหมาะสมต่อการฝังตัว หรือที่เรียกว่า ระยะบลาสโตซีสต์ โอกาสที่ได้ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์จะอยู่ที่ 60%
• เมื่อนำตัวอ่อนไปตรวจคัดกรองโครโมโซม จะพบว่า โอกาสที่ตัวอ่อนมีโครโมโซมผิดปกติจะอยู่ที่ 50% ซึ่งถ้านำตัวอ่อนนี้ย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกจะไม่เกิดการตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์แล้วก็จะเกิดการแท้งในที่สุด
ดังนั้น ในปัจจุบันได้มีคำแนะนำว่า ในการที่เราจะมีลูก 1 คน จะต้องมีไข่ที่มีคุณภาพดีแช่แข็งไว้อย่างน้อย 10-15 ใบ เพื่อที่จะได้มีโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ 1 ครั้ง ในคนที่อายุน้อยกว่า 35 ปี โดยความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับจำนวนและคุณภาพไข่ ณ ช่วงอายุที่แช่แข็ง ยิ่งอายุน้อยโอกาสสำเร็จจะสูง