ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ พบได้บ่อยในสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยพบประมาณ 6-10% ของสตรีทั่วไป และพบได้สูงขึ้นถึง 25-50% ในกลุ่มสตรีที่มีปัญหามีบุตรยาก ในทางกลับกันกลุ่มสตรีที่มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ จะพบว่ามีปัญหามีบุตรยากได้สูงถึง 30-50% ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มีความสัมพันธ์กับภาวะการมีบุตรยาก
โรคนี้มีสาเหตุเกิดจากการที่มีเยื่อบุโพรงมดลูก ไปเจริญเติบโตตามที่ต่างๆ นอกโพรงมดลูก เช่น รังไข่ เยื่อบุอุ้งเชิงกราน หรือเจริญเติบโตแทรกเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้เกิดปัญหาช็อคโกแลตซีสต์ ผังผืดในอุ้งเชิงกราน และภาวะมดลูกโต เป็นต้น
อาการแสดงของโรค มีได้ตั้งแต่
– ไม่มีอาการอะไรเลย ซึ่งพบได้ 20-25% ของกลุ่มผู้ป่วยภาวะนี้
– อาการปวด ได้แก่ ปวดท้องประจำเดือน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดท้องน้อยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ปวดเวลาถ่ายอุจจาระขณะมีประจำเดือน
– ปัญหามีบุตรยาก
ปัญหาการมีบุตรยาก กับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
ในคนปกติทั่วไปจะมีโอกาสการตั้งครรภ์ธรรมชาติ ในแต่ละเดือนประมาณ 15-20% และลดลงตามอายุ แต่ในกลุ่มสตรีที่มีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มีอัตราการตั้งครรภ์ลดลงอยู่ที่ 2-10% ต่อเดือน โดยเชื่อว่า เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่นี้ทำให้เกิดอาการ
1. อวัยวะในอุ้งเชิงกรานผิดรูปร่างไป
2. มีความผิดปกติของการทำงานของท่อนำไข่และการตกไข่
3. มีความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูก
4. มีการลดลงของคุณภาพของไข่ ดังนั้น สตรีที่มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่จึงมักมีปัญหามีบุตรยากร่วมด้วย
ทางเลือกในการรักษา
ทางเลือกการรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ อายุ อาการปวด ความต้องการมีบุตร และความรุนแรงของตัวโรคที่ตรวจพบ
การรักษาโดยการใช้ยา : ในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตรนั้น ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มฮอร์โมนต่างๆ ในการรักษา ซึ่งยากลุ่มนี้ได้ผลดีในแง่ลดอาการปวด แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้ก็จะทำงานโดยกดการทำงานของรังไข่ ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องการตั้งครรภ์ เสียโอกาสในการตั้งครรภ์ในช่วงที่ใช้ยา
การรักษาโดยการผ่าตัด : พิจารณาเป็นรายๆ ไปตามอาการ ไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดทุกราย ซึ่งถ้าคนไข้จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดส่องกล้องตรวจอยู่แล้ว เช่น ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรง และพบรอยโรคระหว่างการผ่าตัด แนะนำให้ทำการจี้หรือตัดบริเวณรอยโรคออก โดยพบว่าหลังการผ่าตัด โอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติจะสูงขึ้นเล็กน้อย
การรักษาโดยการกระตุ้นไข่ฉีดเชื้อ และการทำเด็กหลอดแก้ว : พบว่าเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์อย่างชัดเจน ไม่ว่าผู้ป่วย จะมีความรุนแรงของโรคมากหรือน้อยก็ตาม ในกรณีที่ผู้ป่วยมีช็อคโกแลตซีสต์ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาซีสต์ออก ก่อนการฉีดเชื้อ และการทำเด็กหลอดแก้ว ยกเว้นผ่าตัดเพื่อลดอาการปวด หรือตำแหน่งของซีสต์มีผลทำให้ไม่สามารถเก็บไข่ได้ เนื่องจากการผ่าตัดเอาซีสต์ออก มีความเสี่ยงที่ไข่จะถูกทำลายจากการผ่าตัด ซึ่งจะทำให้ปริมาณไข่ลดลง จนอาจไม่สามารถกระตุ้นไข่เพื่อทำ เด็กหลอดแก้วในภายหลังการผ่าตัดได้
บทความโดย
พญ.ปิยพันธ์ ปุญญธนะศักดิ์ชัย
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
โรงพยาบาลเจตนิน
วารสารวิชาการเจตนิน Vol.7 No.1