การเตรียมตัวก่อนทำเด็กหลอดแก้ว
การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้โอกาสของการทำเด็กหลอดแก้วสำเร็จมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรจะเตรียมตัวในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
การตรวจสุขภาพเบื้องต้น
เพื่อประเมินความพร้อมของคุณพ่อคุณแม่ก่อนการมีบุตรเป็นสิ่งสำคัญ เป็นการป้องกันโรคที่สามารถติดต่อกันได้จากคู่สมรส และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ลูก ซึ่งได้แก่
– การตรวจหาเชื้อไวรัส HIV
– การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B), การตรวจหาเชื้อไวรัสอักเสบซี (Hepatitis C)
– การตรวจหาภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมัน (Rubella) ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน ให้ฉีดวัคซีนก่อนเริ่มการรักษาอย่างน้อย 1 เดือน
– การตรวจธาลัสซีเมีย เพื่อประเมินว่าเป็นโรคหรือเป็นพาหะธาลัสซีเมียหรือไม่
การดูแลรักษาสุขภาพ
ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตนเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักให้ไม่มีน้ำหนักที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ งดดื่มแอลกอฮอล์ หยุดสูบบุหรี่ หรือการเริ่มทานโฟลิคเป็นประจำ
ข้อดี ของการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน
ตัวอ่อนเกิดจากการนำไข่ที่มีโครโมโซม 23 แท่ง รวมกับสเปิร์มที่มีโครโมโซม 23 แท่ง จนได้ตัวอ่อนที่มีโครโมโซม 46 แท่ง ซึ่งตัวอ่อนที่มีจำนวนโครโมโซมผิดปกติถ้าเอาไปใส่ในท้องแม่ก็จะไม่ฝังตัว หรือถ้าฝังตัวได้จะเกิดการแท้งไปในที่สุด การตรวจโครโมโซมจึงมีประโยชน์คือ
เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ แพทย์สามารถทราบว่าตัวอ่อนตัวไหนมีจำนวนโครโมโซมที่ถูกต้องและปกติ ทำให้เลือกตัวอ่อนที่ปกติกลับไปฝังได้
ช่วยลดโอกาสของการแท้งบุตร ตัวอ่อนที่มีโครโมโซมที่ผิดปกติ เป็นหนึ่งในปัจจัยของการแท้งบุตร
ช่วยลดระยะเวลาในการทำให้เกิดการตั้งครรภ์ (Time to pregnancy) เพราะตัวอ่อนที่ดีจะมีโอกาสฝังตัวสูงและมีโอกาสแท้งต่ำ
ลดโอกาสการเกิดความผิดปกติของเด็กที่มีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆเช่น โรคดาวน์ซินโดรม
ใครควรจะตรวจคัดกรอง โครโมโซมตัวอ่อน (PGT-A) ?
ปัจจุบันการทำ IVF/ ICSI เราสามารถตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าโพรงมดลูกหรือที่เรียกว่า ‘PGT- A’ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ลดการเกิดการแท้งบุตร และลดโอกาสการเกิดความผิดปกติในเด็กที่เกิดจากการมีโครโมโซมผิดปกติ การตรวจคัดกรองจะแนะนำให้ทำในคู่สมรสที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความจำเป็นในการรักษาบางอย่าง ซึ่งได้แก่
คู่สมรสฝ่ายหญิงมีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะมีการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง กับการที่มีลูกที่มีโครโมโซมผิดปกติ
คู่สมรสที่มีการตั้งครรภ์ได้เองโดยธรรมชาติ แต่ประสบปัญหาเรื่องภาวะของการแท้งซ้ำ โดยมีการแท้งตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป ในช่วงอายุครรภ์ก่อน 12 สัปดาห์
คู่สมรสที่ได้รับการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยการย้ายตัวอ่อนอย่างน้อย 2 ครั้งและไม่เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น
คู่สมรสที่มีการแท้ง และได้รับการตรวจโครโมโซม หรือพันธุกรรมในตัวเด็กที่มีการแท้งแล้วพบว่ามีโครโมโซมผิดปกติ
กรณีที่ตรวจพบว่าสามีหรือภรรยา มีโครโมโซมที่ผิดปกติ
กรณีที่ตรวจพบว่ามีโรค หรือความผิดปกติ ที่เป็นลักษณะของโรคทางพันธุกรรมภายในครอบครัว
บทความโดย
พ.ต.ต. แพทย์หญิง เทพจงจิต อาวเจนพงษ์
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
โรงพยาบาลเจตนิน
วารสารวิชาการเจตนิน Vol.12 No.1